เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ ส.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมโอสถ จะเหนื่อยยากขนาดไหน ธรรมโอสถทำให้สดชื่นขึ้นมาได้ ธรรมโอสถทำให้เรามีความสุขไง คนเราเกิดมาเกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุขทุกๆ คน ถ้าเกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุขทุกคน คนมีค่าเท่ากับคน มันจะต่างกัน ต่างกันโดยความคิด ความคิดเวลาคิดโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความคิดเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวนึกว่าจะได้ประโยชน์ มันไม่ได้หรอก ถ้าความคิด ความคิดเพื่อสาธารณะ ความคิดเพื่อประโยชน์นะ โอ้โฮ! มันยิ่งทำยิ่งมีความสุข นี่ความสุขอย่างนั้น

คนเราเกิดมา เกิดมาเป็นสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าปัจจัยเครื่องอาศัย คนเราเกินมาต้องมีหน้าที่การงาน ถ้าหน้าที่การงานก็เพื่อปัจจัยเครื่องอาศัยๆ ถ้าปัจจัยเครื่องอาศัย ไม่มีทิฏฐิมานะนะ สิ่งนี้มันพอกลืนไง พอกล้ำกลืนไป

มนุษย์ต่างจากสัตว์ สัตว์มันก็มีชีวิตเหมือนกัน สัตว์มันก็หาปัจจัย ๔ ของมันเหมือนกัน แต่สัตว์มันไม่มีศีลไม่มีธรรมไง มนุษย์มีศีลมีธรรมนะ ถ้ามนุษย์มีศีลมีธรรมขึ้นมา เราเกิดมาแล้วเราเกิดมาด้วยบุญกุศลของเรา บุญกุศลในทางวัฏฏะนะ บุญกุศลใน ๓ โลกธาตุ แต่ถ้าเวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่เกิดมาๆ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริงทั้งนั้นน่ะ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง แล้วจะพ้นจากทุกข์ไปได้อย่างไร พ้นจากทุกข์ได้มันต้องการประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา คนต้องมีอำนาจวาสนาขึ้นมาถึงจะมาประพฤติปฏิบัติ เพราะเกิดมามันก็ทุกข์มันก็ยากอยู่แล้ว เวล่ำเวลามันจะไม่มีหรอก ทำมาหากินยังไม่มีเวลาจะทำมาหากินเลย จะเอาเวลาที่ไหนไปประพฤติปฏิบัติ 

เวลาหากิน หากินมันก็ใช้สติปัญญา สติปัญญาทางโลก ใครที่มีอำนาจวาสนาของเขามา เขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา อำนาจวาสนาเราลุ่มๆ ดอนๆ เราก็พยายามทำของเราๆ ถ้าทำของเรา นี่มันเรื่องที่อำนาจวาสนา ถ้ามันทำแล้วมันประสบความสำเร็จในชีวิต เราก็พอใจของเรา ถ้าพอใจของเรา สิ่งที่มันเกินมา สิ่งที่มันเหลือมา เราจะสร้างบุญกุศลของเรา บุญกุศลของเราเพื่อโอกาสของเรา เพื่อวาสนาของเรา ถ้าวาสนาของเรา ถ้าทำอย่างนี้ได้ มันคิดขึ้นมามันเป็นประโยชน์ 

เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัย ที่พึ่งอื่นไม่มี ที่พึ่งอื่นไม่มี แล้วพระสงฆ์ๆ มาจากไหน ก็มาจากฆราวาส มาจากโยมนั่นแหละ เวลามาจากโยมขึ้นมา เพราะอะไร เขามีศีล ๕ ไง เวลาศีล ๕ โยมเขามีศีล ๕ ใช่ไหม เวลาประพฤติปฏิบัติในวัดก็มีศีล ๘ ใช่ไหม มาบวชมีศีล ๑๐ ใช่ไหม มาบวชพระมีศีล ๒๒๗ ศีลนี้เป็นรั้วล้อมรอบหัวใจไว้ไม่ให้ออกมาวุ่นวายไง นี่สมณสารูป ถ้าสมณสรูปขึ้นมา สิ่งที่ว่าเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง รัตนตรัยของเรา สิ่งที่พึ่งอื่นไม่มี ถ้าที่พึ่งอื่นมันก็เป็นเรื่องทางโลก เรื่องทางโลก คติโลก คติธรรม

คติโลก คติโลกมันก็แข่งขันกันทางโลกนั่นน่ะ ถ้าแข่งขันกันทางโลก สิ่งที่แข่งขันกัน สิ่งที่อำนาจวาสนามันก็เป็นธุรกิจอันหนึ่ง ถ้าเป็นธุรกิจอันหนึ่ง สิ่งที่เป็นธุรกิจมันก็มีได้มีเสียเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ มันมีสะอาดบริสุทธิ์มาจากไหน ถ้ามันไม่มีสะอาดบริสุทธิ์มาจากไหน เวลาไปทำบุญในเนื้อนาบุญของเรา ถ้าเนื้อนาบุญของเรา เราทำบุญทิ้งเหวไป สิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์กับศาสนา มันเป็นประโยชน์สาธารณะ ถ้ามันเป็นประโยชน์นะ แต่เวลาเป็นประโยชน์ขึ้นมา เวลาเราไปวัดไปวา เราไปเห็นสมณสารูป เห็นพระที่ไม่มีอุปัชฌาย์อาจารย์ที่ควบคุมดูแล 

มันมีคนพูดมาก เวลาไปวัดๆ ไหว้พระไม่ลงๆ เห็นไหม เวลาสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์ก็มาจากโลกนั่นแหละ แต่มาจากโลกขึ้นมาแล้ว ถ้าเขามีสติปัญญาของเขา ถ้าเขาบวชมาปรารถนาเพื่อความพ้นทุกข์นะ ไอ้เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นเรื่องรองๆ ทั้งนั้นน่ะ เรื่องจริงของเขาคือเรื่องหัวใจของเขา เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมามันทุกข์มันยากในหัวใจนะ

เวลาครูบาอาจารย์ประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่กงมาท่านไปเที่ยวเมืองจันท์ ท่านไปเห็นความอุดมสมบูรณ์ ท่านร้องไห้เลย “ศาสนาหมดแล้ว ศาสนาหมดแล้วนะ” เพราะอยู่ดีกินดีไง ถ้าอยู่ดีกินดี ดูสิ หลวงปู่กงมาท่านเห็นพระอยู่กันด้วยความอุดมสมบูรณ์นะ ท่านร้องไห้ น้ำตาท่านไหล เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความจริงของท่าน ท่านไม่มาสนใจเรื่องอย่างนี้ ท่านไม่มาสนใจปัจจัยเครื่องอาศัย ท่านสนใจแต่ศีล สมาธิ ปัญญา สนใจในจิตใจของท่าน แล้วเวลาสนใจในจิตใจของท่าน เวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยความขาดแคลน ด้วยความอดๆ อยากๆ แต่หัวใจมันแช่มชื่น หัวใจมันแจ่มใส หัวใจมันผ่องใสไง แล้วท่านได้มาอย่างนั้นไง 

เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัตินะ ลุ่มๆ ดอนๆ ขาดแคลนทั้งนั้นน่ะ พอขาดแคลน กิเลสมันดิ้นรน ดิ้นรนก็ได้เห็นตัวมันไง ดิ้นรนก็จับมันสิ แต่ถ้าทำมาอย่างนั้น นี่ครูบาอาจารย์ท่านปฏิปทาทุกข์ยาก เวลาทุกข์ยากขึ้นมา แต่ธรรมะมันเจริญ ธรรมะมันแจ่มใส ธรรมะมันมีคุณธรรมในหัวใจ

เวลาหลวงปู่กงมาท่านกลับมาไปเห็นไง ท่านไปเห็น ครูบาอาจารย์เล่าต่อๆ กันมา เวลาท่านมาก็ได้ข่าวว่าท่านพ่อลีมาสร้างวัดทางนี้ ท่านก็วิเวกมา ธุดงค์มา จนต้องมาสร้างวัดสร้างวา แต่พอมาเห็นพระอุดมสมบูรณ์ น้ำตาไหล นี่หมด ธรรมทายาท สมณะที่จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันอยู่สุขอยู่สบายเกินไปไง 

เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมา กิเลสมันดิ้นรน ถ้ากิเลสมันดิ้นรน เพราะเรามาหามันไง ถ้าเรามาหามันนะ เราต่อสู้กับมัน เราพยายามขีดวงมัน พยายามจำกัดมันให้ได้  นั่นน่ะมันออกมาให้เราเห็น

แต่ถ้ามันอุดมสมบูรณ์ กินแล้วก็นอนอย่างกับหมู หลวงตาพูดทุกวัน กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กินนั่นน่ะ นั่นน่ะวิชากิเลส ท่านบอกนั่นวิชากิเลส แต่ทางโลก เวลาพระอวดกัน อวดกันความอุดมสมบูรณ์ อวดกันยศถาบรรดาศักดิ์ อวดกันโดยศรัทธา อวดกันโดยคณะศรัทธา ไปไหนมีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลัง มันลวงโลกทั้งนั้นน่ะ นี่มันความเห็นของโลกไง คติโลก คติธรรมไง ถ้าคติโลกมันเป็นแบบนั้น

ถ้าคติธรรมๆ คติธรรมนะ ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม แล้วคนที่เป็นธรรม พอเป็นธรรม ท่านไปเห็นไง เวลาเข้าวัดไปท่านรู้แล้ว เวลาหลวงตาท่านไปเยี่ยมลูกศิษย์ๆ ท่านเข้าวัดไปท่านเห็นแล้ว หัวหน้ามันดีหรือหัวหน้าไม่ดี หัวหน้าดีเขาปฏิบัติขึ้นมา ในวัดในวานะ กิจของสงฆ์ๆ กิจของตัว บ้านของตัวดูแลให้ดี ถ้าบ้านของตัวดูแลไม่ดีแล้วจะไปดูแลใคร ถ้าบ้านของตัวดูแลไม่ดีจะดูแลหัวใจของตนได้อย่างไร ถ้าบ้านของตัวเองไม่ดูแล หัวใจมันก็เป็นวัดร้าง พอวัดร้างขึ้นมา

แล้วถ้ามันมีสติปัญญาในหัวใจอันนั้น หัวใจนี้มีสติปัญญาขึ้นมารักษาตัวมันเอง ตัวมันเองก็ไม่ร้าง ข้อวัตรก็ไม่ร้าง วัดก็ไม่ร้างเพราะมีพระ กิจของสงฆ์ๆ เวลาครูบาอาจารย์ท่านไปเยี่ยมลูกศิษย์ๆ ท่านไปดูอย่างนั้นน่ะ ไปดูความบกพร่อง ไปดูความขาดแคลน ไปดูความเป็นจริงในหัวใจ เห็นไหม นี่คติธรรม 

นี่ไง เราเกิดเป็นชาวพุทธ เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง พระสงฆ์ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ อนุปุพพิกถา ผู้ที่ยังไม่ศรัทธาก็ให้ศรัทธา พอทำบุญกุศลขึ้นมาแล้วไปสวรรค์แน่นอน ถ้าเขาทำด้วยศรัทธาของเขา ไม่มีสิ่งใดแอบแฝง เวลาไปสวรรค์ขึ้นมาแล้วให้ถือเนกขัมมะ ถือเนกขัมมะก็ถือศีลไง เนกขัมมะ ถือพรหมจรรย์ จะเทศน์เรื่องอริยสัจแล้ว เวลาเทศน์เรื่องอริยสัจ เรื่องเข้าสู่หัวใจๆ เห็นไหม

นี่ไง เวลาพระบวชใหม่ๆ บวชใหม่ก็มาจากฆราวาส เวลาพระบวชใหม่ยังไม่พ้นนิสัย ถ้าพ้นนิสัยขึ้นมาก็ต้องขอนิสัย เวลาขอนิสัยขึ้นมา ภิกษุบวชใหม่ทนคำสอนได้ยาก ทนคำสอนได้ยากเพราะประชาธิปไตยๆ ไง สิทธิความเป็นมนุษย์นะ มากดขี่ข่มเหงกันไม่ได้นะ

เวลาหลวงตาท่านพูด ท่านไปข่มเหงใคร ท่านไปข่มเหงมนุษย์ที่ไหน นี่ศาสนทายาท มันทะนุถนอมนะ แต่มันทะนุถนอมเพื่อให้ธรรมมันเปิดขึ้นมาไง การทะนุถนอมโดยธรรม ไม่ใช่การทะนุถนอมโดยโลกไง ถ้าทะนุถนอมโดยโลก โลกก็เห็นกันอย่างนั้นไง เวลาเข้ามาก็เอาอกเอาใจดูแลกัน ดูแลมันก็กิเลสอ้วนๆ ไง 

นี่ไง แต่ถ้ามันเข้ามา สมณสารูป เข้ามาแล้วต้องพิจารณาเพื่อดูแลรักษาหัวใจของตน เข้ามา นี่ไง เวลาบวชมาแล้วมันก็พยายามค้นคว้าไง ถ้าค้นคว้าพยายามกระทำของเราขึ้นมา นี่ไง ถนอมรักษาๆ พระบวชใหม่ทนได้ยากคือคำสอนๆ มันนิสัยฆราวาสไง นิสัยฆราวาสคือนิสัยส่วนตัวของเราไง ถ้ามันเป็นกิเลสก็ทิฏฐิมานะทั้งนั้นแหละ มันเข้ามาด้วยทิฏฐิมานะของตน ว่ามีปัญญาๆ ปัญญาอะไร กิเลสทั้งนั้น เข้ามายังไม่สามารถ ศีลที่บริสุทธิ์ ศีลที่มันทำให้สะอาดขึ้นมา ถ้าจิตใจมันมีขอบมีเขตของมัน ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา เห็นไหม

นี่ไง เวลาพระบวชใหม่ๆ พอพระบวชใหม่แล้วถ้ามาฝึกหัดขึ้นมาๆ แล้วเราก็ส่งเสริมไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์มันต้องพัฒนาขึ้นมาอย่างนี้ ถ้าพัฒนาขึ้นมาอย่างนี้ นี่คติธรรม คติธรรมจะเกิดขึ้นมา ถ้าคติธรรมเกิดขึ้นมา เราก็ไว้วางใจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาอยู่ที่ไหน พระพุทธศาสนา ดูสิ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปแล้ว เวลาพระอานนท์ถามไง ถามว่า “ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพานไปแล้ว พระจะเอาที่ไหนเป็นที่พึ่ง”

“ธรรมและวินัยที่เราตรัสเธอไว้เป็นศาสดาของเธอ”

ธรรมและวินัยคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่วินัยที่เป็นข้อวัตรปฏิบัติเป็นศาสดาของเรา เห็นไหม หลวงตาท่านพูดประจำ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรมไง 

เวลาคนเขามาถามว่า เหยียบหัวพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร

ก็ธรรมวินัยนี่ไง ถ้าเราไม่ก้าวล่วงๆ นี่พระบวชใหม่ พระบวชใหม่มามันก็ต้องถนอมรักษา พยายามศึกษา ศึกษาว่า สิ่งใดแล้วไม่เข้าไปใกล้เลย ไม่เข้าไปเหยียบในร่มเงาของพระธรรมวินัยไม่ให้มันเป็นอาบัติ เป็นสิ่งที่เศร้าหมองในใจของเรา แต่ด้วยความไม่รู้ ความไม่รู้มันก็เรื่องธรรมดา เรื่องธรรมดาเพราะมันไม่รู้ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำเข้าไป 

ทีนี้เวลาพระบวชมาแล้วที่จะออกประพฤติปฏิบัตินะ เขาจะศึกษาอนุปุพพิกถา สิ่งที่ศึกษามา ศึกษามาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เวลาปฏิบัติขึ้นมามันจะมีอาวุโสภันเต เวลาศึกษาในตำรา ถ้าภิกษุอายุพรรษาต่างกัน ๕ พรรษา เราจะไม่สวมรองเท้าเดินเข้าไปใกล้ท่าน มันมีสูงมีต่ำนะ มันปรับโดยอัตโนมัติ ถ้าภิกษุพรรษาอ่อนกว่านั่งอยู่สูงกว่าภิกษุที่พรรษามากกว่าโดยที่ไม่ขอโอกาส ปรับอาบัติทันที อาบัติมันเป็นอัตโนมัติเลย ฉะนั้น เขาถึงศึกษา เขาถึงเคารพ

ดูสิ ฉะนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านรื้อฟื้นขึ้นมาไง ธรรมวินัยมันมีอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้แล้ว “ธรรมวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ” ศาสดาของเธอแล้วทำอะไรกัน ปล่อยปละละเลยไง

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านรื้อค้นขึ้นมา ท่านก็ฟื้นฟูของที่มีอยู่นั่นแหละ ของที่มีอยู่นะ เวลาเขาจะทำสังคายนาๆ ใครมันจะฉลาดเกินองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยมันมีอยู่แล้ว ไปสังคายนาอะไร ปฏิบัติสิ ปฏิบัติตามนั้น ปฏิบัติตามธรรมวินัย ปฏิบัติตามศาสดานั้นน่ะ แล้วมีใครทำล่ะ ก็หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมาฟื้นฟูของท่าน ท่านมาทำของท่าน พอมาทำได้ขึ้นมาตามความเป็นจริง 

พอความเป็นจริงขึ้นมา แล้วความจริงที่ไหน ใครเห็น ธรรมในหัวใจของหลวงปู่มั่น ใครเห็น ไม่มีใครเห็นหรอก แต่มันเป็นความสุขของหลวงปู่มั่น เป็นความจริงในใจหลวงปู่มั่น วิมุตติธรรมๆ วิหารธรรมในใจอันนั้นไง เพราะวิหารธรรมในใจอันนั้น ธรรมอันนี้มันมีคุณค่าเลอเลิศไง พอมีคุณค่าเลอเลิศ ท่านอยู่ป่าอยู่เขาของท่านด้วยเกียรติศัพท์เกียรติคุณของท่าน ผู้ที่แสวงหาๆ แสวงหาต้องไปแสวงหาจากท่าน ถ้าไปแสวงหาจากท่าน มันเป็นความเชื่อถือความศรัทธากันมา เห็นไหม

นี่พูดถึงว่า เวลาเราจะไปวัดหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ไง เราหาพระสงฆ์อย่างนี้ไง เราหาพระสงฆ์ที่ว่าท่านอ่อนน้อมถ่อมตนไง ท่านเป็นครูของเทวดา พรหมมาฟังเทศน์ท่าน เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นๆ ท่านเป็นครูมนุษย์หรือ ท่านต้องการมนุษย์ขี้เหม็นเข้าไปเคารพศรัทธาหรือ ท่านไปไหนต้องให้คนนับหน้าถือตาหรือ ไม่มี ท่านอยู่ของท่านโดยความสงบสงัดของท่าน เราต้องวิ่งไปแสวงหาท่าน 

นี่ไง แล้วเวลาบอกว่า เราเป็นชาวพุทธ เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เวลามีพระสงฆ์ๆ เราก็มองแต่พระสงฆ์ที่เราไว้ใจไม่ได้ พระสงฆ์ที่เราลงใจไม่ได้ แล้วเราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่งล่ะ พวกเราก็โลเลไง ดูสิ เป็นฆราวาสเขา เขาเป็นผู้ดี เขายังมีมารยาทเรียบร้อยกว่าพระเราอีก แต่นี่เวลาพูดถึงพระอย่างนั้นไง แต่ทำไมไม่พูดถึงพระครูบาอาจารย์เราบ้างล่ะ ทำไมไม่พูดถึงพระที่ท่านฝึกฝนของท่านมาล่ะ แล้วเวลาท่านฝึกฝนของท่านมาแล้ว ท่านฝึกฝนมาดีอย่างไร ท่านก็มาอบรมสั่งสอนพวกเรานะ จะสร้างศาสนทายาท สร้างศาสนทายาทขึ้นมาไง ถ้าสร้างศาสนทายาทขึ้นมา ที่มาวัดมาวากันเรามาทำบุญกุศลก็เพื่อเหตุนี้ไง เพื่อส่งเสริมไง

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้มีธรรมเป็นที่พึ่ง ให้มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ไม่มีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย ในปัจจุบันนี้ ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันจะเป็นไสยศาสตร์ไปทั้งนั้น ในวัดในวามีรูปเคารพที่แปลกๆ ในการกระทำมันมีแปลกๆ แล้วเวลาไปวัดปฏิบัติจริงๆ ขึ้นมา ไม่เห็นมีอะไรเลย ไม่เห็นมีอะไรเลย

จะมีอะไรล่ะ ก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอ็งมองไม่เห็น เอ็งอยากเห็นสิ่งแปลกๆ ไง อยากจะเห็นแต่เรื่องไสยศาสตร์ไง อยากเห็นสิ่งที่จับต้องได้ไง แต่ไอ้จริงๆ มึงไม่เห็น ถ้าเห็น เห็นทำอย่างไร

เห็นขึ้นมา มาวัดมาวา เราถือศีล ศีล สมาธิ ปัญญาไง ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา วัดที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เรียบง่ายไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนอะไรที่เลอเลิศ ไม่ได้สอนอะไรที่มันแปลกประหลาดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรียบง่ายเลย เรียบง่ายมันอยู่ที่ไหน

คนเดินหรือคนวิ่งอยู่มันจะเห็นภาพสิ่งใดไม่ได้ คนยืนหรือคนนั่งอยู่จะเห็นภาพชัดเชน จิตใจที่มันเคลื่อนไหว จิตใจที่มันฟุ้งซ่าน จิตใจที่มันทุกข์ยากกันอยู่นี่ แล้วก็วิ่งแสวงหากัน วิ่งแสวงหากัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า มนุษย์เราถือดุ้นไฟคนละดุ้น แล้วก็วิ่งไปว่าร้อนๆๆ แล้วก็วิ่งถือไปเรื่อยๆ ในคราวหนึ่งมีเอกบุรุษผู้หนึ่งคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทิ้งดุ้นไฟนั้นแล้ว แล้วสอนพวกเราให้ทิ้งดุ้นไฟนั้นไง 

นี่ก็เหมือนกัน เราก็แสวงหา เราก็วิ่งของเรา ร้อนๆ แต่ถ้าเราหยุดของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทำความสงบของเราเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามา คนที่นิ่งอยู่มันเห็นภาพอะไรเกิดขึ้นมา เห็นความบกพร่องของเรา เห็นความผิดพลาดของเรา เห็นความไม่เอาไหนของเรา แล้วพอเห็นความไม่เอาไหนของเรา นี่ไง ให้บุคคลอื่นสอนขนาดไหน ถ้าเรารู้ความบกพร่องของเราเอง นั่นน่ะไม่ต้องไปโต้แย้งกับใครเลย ถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมามันจะเห็นความบกพร่องของเรานะ ทำไมเราไม่เอาความจริง 

สิ่งใดๆ ก็ทำได้ทั้งนั้นน่ะ นั่งเฉยๆ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทำไม่ได้  ถ้าเราทำขึ้นมา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก คนเราเจ็บไข้ได้ป่วยที่ไหน เวลามันหาย หายที่นั่น จิตใจของเรามันทุกข์มันยากที่นี่ แต่เราก็วิ่งแสวงหาที่อื่น ให้คนอื่นเขาช่วยเหลือดูแลเราไง ถ้าคนอื่นปกป้องดูแลเรา คนอื่นๆ คนอื่นทั้งนั้นเลย

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมาที่เราๆ ที่เราทั้งนั้นเลย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กลับมาที่ใจเรานี่ ทำคุณงามความดีก็เราทำนี่ วันนี้มาทำบุญกุศล ใครเป็นคนมา ก็ร่างกายนี้มา หัวใจมันพามา ถ้าหัวใจมันพามานะ แล้วหัวใจมันทุกข์ร้อนไหม ถามมัน ถ้าหัวใจมันทุกข์ร้อน แล้วอะไรเป็นที่พึ่งในโลกนี้ ถ้าไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่งในโลกนี้ เราก็กลับมาหาใจเรา แต่มันหาไม่เจอ หาไม่เจอเราก็สร้างศรัทธาความเชื่อของเรา แล้วแสวงหาของเรา มันเป็นไปได้จริง เป็นไปได้จริงนะ แต่เวลาทำมันทุกข์มันยากมาก มันทุกข์มันยากมากก็ครูบาอาจารย์เรานี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ถ้าเป็นจริง เป็นจริงอย่างนั้นนะ

ถ้าเห็นพระอุดมสมบูรณ์อยู่สุขอยู่สบาย หลวงปู่กงมาร้องไห้เลย เวลาหลวงปู่มั่นท่านก็ไม่ทำแบบนั้น ครูบาอาจารย์เราไม่ทำแบบนั้น ถ้าทำแบบนั้นนะ ดูสิ เวลาคนที่ภาวนามันรู้ กินอิ่มนอนอุ่น ธาตุขันธ์มันทับจิต อืดอาด ยืดยาด ทำอะไรก็ไม่ได้  แล้วในปัจจุบันนี้ก็เป็นอย่างนั้นทั้งนั้นน่ะ ทำอะไรได้ มันเรือเกลือ รถที่ชำรุดไปวิ่งได้ไหม รถที่มันเสียหาย เบรกไม่ดี เอาไปขับไหม 

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันฮึกเหิม หัวใจที่มันคึกคะนอง หัวใจที่มันไม่มีสติปัญญาอะไรเลย แล้วก็ไปบำรุงบำเรอมัน จะไปไหนล่ะ นี่ไง เรามาถือศีลๆ ถือศีลก็ลดทอนมันไง สิ่งใดที่มันเป็นฟืนเป็นไฟก็ชักมันออกๆ ไง ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงนะ ท่านอดนอนผ่อนอาหาร

เวลามันผ่อนอาหารขึ้นมา โอ้โฮ! มันแช่มชื่นนะ หิวไม่หิวโดยธรรมชาติ คนที่ภาวนามารู้ เวลาอดอาหาร ผ่อนอาหาร หิว หิวกระหาย แต่มันก็พอผ่อนไง เพราะว่ามนุษย์ขาดน้ำไม่ได้ น้ำถ้าเป็นน้ำสาธารณะไม่ต้องประเคน เรากรองแล้วเราดื่มกินได้ตลอดเวลา เอาน้ำประทังชีวิตนั้นไป แต่หัวใจมันผ่องแผ้ว หัวใจมันเดินนะ ตัวปลิวเลยแหละ เบา ลอยไปก็ลอยมาน่ะ แต่เวลาฉันอาหารเสร็จแล้วก็เหมือนกับเรือเกลือ ขยับไม่ได้เลย 

นี่ไง ธรรมะที่มันเหนือไง นี่ไง คติธรรมมันเหนือคติโลกไง คติโลกอุดมสมบูรณ์พูนสุข อู๋ย! วิ่งแสวงหายศถาบรรดาศักดิ์ ไอ้นั้นถ้ามันเป็นเรื่องทางโลกนะ เรื่องทางโลกหมายความว่า เราได้ทำบุญกุศลของเรามา เราทำอย่างใดก็ประสบความสำเร็จอย่างนั้นน่ะ เราปฏิเสธไม่ได้หรอก เวลาแดดออก พระอาทิตย์ขึ้น เราปฏิเสธแสงอันนั้นไม่ได้หรอก สิ่งที่ใครทำมา ถ้ามันได้ มันก็ได้โดยธรรมชาติ มันได้โดยข้อเท็จจริงอยู่แล้ว สิ่งที่มันขาดตกบกพร่อง เห็นไหม พระอาทิตย์ขึ้น เราไปอยู่ในที่อับ ในที่ไม่มีแสง ไอ้นั่นก็วาสนาของเราเอง เราก็พยายามทำของเราให้เข้าสู่แสงนั้น 

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้ามันขาดตกบกพร่องสิ่งใด เราก็พยายามทำของเราขึ้นไปๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ พระพุทธศาสนาสอนตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วพยายามฝึกหัดๆ ขึ้นมา พอตนเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้วไม่ต้องไปพึ่งใคร แล้วใครก็หลอกเราไม่ได้ ใครก็มาครอบงำเราไม่ได้ ใครก็จะมาชักจูงเราไม่ได้ 

เวลาเราพูดประจำ ขออย่างเดียว ขอให้เอาหัวใจเราไว้ในหัวอกเรานี่ อย่าไปเชื่อใครง่ายๆ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้ว ถ้ามีหลักมีเกณฑ์แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องกาลามสูตรไง ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อคำสอนนั้น ไม่ให้เชื่อทั้งสิ้น ให้ประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริง แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงแล้ว เราไปกลัวใคร แต่นี่มันประพฤติปฏิบัติแล้วยังไม่ได้ความจริง ไม่ได้ความจริงก็อาศัยครูบาอาจารย์ไปก่อน ครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งที่อาศัย เราก็อาศัยครูบาอาจารย์นั้นเป็นที่พึ่งที่อาศัย แล้วเราพยายามฝึกหัดของเราขึ้นมา

คติโลก คติธรรม มนุษย์มันมหัศจรรย์อย่างนี้ มนุษย์ต่างจากสัตว์ สัตว์มันแสวงหาอาหารเหมือนเรานี่แหละ มันก็มีฝูงของมัน เราก็แสวงหาของเราเหมือนกัน แต่มันต่างกันตรงศีลตรงธรรม ถ้ามีศีลมีธรรมนะ เรามาด้วยกัน เรายิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน เราให้โอกาสต่อกัน เราพึ่งพาอาศัยกัน เรามีน้ำใจต่อกัน น้ำใจนี่แหละสำคัญที่สุด เพราะหัวใจนี้ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแผ่บารมี เมตตาธรรมครอบ ๓ โลกธาตุ 

หลวงตาท่านบอกเลย เวลาท่านแผ่เมตตาครอบ ๓ โลกธาตุ ครอบ ๓ โลกธาตุ ได้ครอบ ๓ โลกธาตุ แต่เราไม่เอา มันครอบแต่คนดีๆ ไง มันครอบแต่คนที่หัวใจที่เป็นธรรมไง มันครอบหัวใจที่รื่นเริงอาจหาญไง มันไม่ครอบหัวใจเราเลย หัวใจขี้ทุกข์ขี้ยาก หัวใจที่มันคิดแต่เหยียบย่ำทำลายตัวเอง มันไม่ครอบหัวใจดวงนี้เลย หัวใจดวงนี้มันทุกข์มันยากขนาดนั้นน่ะ เราก็พยายามเปิดหัวใจของเราสิ พัฒนามันขึ้นมาไง

เวลาท่านแผ่เมตตามา เออ! ผมด้วย เออ! เราด้วย ไอ้นี่แผ่เมตตามันเลยไปหมดเลย คนอื่นได้หมดเลย เราไม่ได้อยู่คนเดียว ก็เอ็งไม่เปิดหัวใจไง นี่ไง ทิฏฐิมานะของมัน มันมี ดูสุภัททะ สุภัททะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “ศาสนาไหนก็ว่าดี ศาสนาไหนก็ว่าดี แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าอย่างไร”

“อย่าถามให้มากไปเลย เราจะตายอยู่แล้ว ให้พระอานนท์บวช” นั่นไง จนจะตายอยู่แล้ว แผ่เมตตาจน ๓ โลกธาตุมันยังไม่ฟัง มันว่านู่นก็ดีนี่ก็ดี มันยังคิดว่ามันเก่งกว่าเขานะ มันจะมาวิเคราะห์วิจัยว่าศาสนาไหนดีกว่าศาสนาไหนไง โอ๋ย! กูแน่ กูเก่ง กูยอด กูไม่ฟังใคร ต้องพิสูจน์ก่อน เลยโง่อยู่นั่นไง แต่ถ้ามันคิดได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพาน ถ้าเราไม่ได้ไปถามวันนี้ เราจะไม่มีโอกาสแล้วนะ ก็เลยไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “เราไม่มีเวลานะ ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผลหรอก” มันไม่มีมรรคมีผลของมัน ไม่มีการกระทำของมัน มันขี้โม้ ไม่มีความจริงเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอรหันต์ ให้พระอานนท์บวชแล้วพิสูจน์เลย คืนนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน สุภัททะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เป็นพระอรหันต์องค์สุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอวัง